วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

วิธีป้องกันภาพหลุด คลิปหลุด หรือข้อมูลลับหลุด

วิธีป้องกันภาพหลุด คลิปหลุด หรือข้อมูลลับหลุด
   
ปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับการกู้ไฟล์ที่หายไป หรือเผลอลบไป ให้เราโหลดมาใช้อยู่เยอะแยะเต็มไปหมดในอินเทอร์เน็ต (อาทิ PC Inspector File Recovery: www.pcinspector.de) ซึ่งวิธีการก็ใช้งานง่าย จะว่าไปผู้ผลิตโปรแกรมเขาก็มีความประสงค์ดีที่จะผลิตโปรแกรมเพื่อช่วยคนเดือดร้อนที่เผลอลบข้อมูลไปโดยไม่ตั้งใจ แต่ สังคมโลกมักมีพวกหัวหมอเอาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เลยขอแนะนำ 5 วิธีป้องกันคลิป (ฉาว) หลุด ดังนี้
วิธีที่ 1
ไม่นำรูปหรือคลิป (ที่ไม่เหมาะสม) ของตัวเองไปโพสในเว็บสาธารณะ อาทิ hi5 เพราะภาพที่แสดงบนหน้าจอทุกภาพเราสามารถคลิกขวาแล้วเลือก Save Picture As เก็บไว้ดูเล่น และถึงแม้มีเว็บไซต์บางแห่งบอกกับคุณว่ามีระบบป้องกันการ ก๊อบปี้รูป เช่นห้ามคลิกขวา แต่ก็อย่างที่เราทราบว่าเมื่อมีคน (ป้อง) กัน ก็ต้องมีคนแก้ เพราะเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมสำหรับจับภาพที่แสดงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่าง SnagIt ที่สามารถเก็บทุกรายละเอียดทั้งแบบภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหว นั่นก็แสดงว่านอกจากภาพบนหน้าจอที่เห็นแล้ว หากคุณแชตกับเพื่อนแล้วเปิดกล้อง โปรแกรมนี้ก็สามารถบันทึกภาพที่ปรากฏผ่านกล้องเว็บแคม แล้วเก็บไฟล์คลิปได้ด้วยเช่นกัน
วิธีที่ 2
ก่อนนำมือถือไปซ่อม แนะนำให้ถอดเมมโมรีการ์ดที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลออกมา ส่วนข้อมูลที่บันทึกอยู่ในตัวเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ควรฮาร์ดรีเซ็ต (คล้ายๆ กับการฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์) ซึ่งมือถือแต่ละรุ่นจะมีวิธีการที่แตกต่างกันไป แนะนำให้อ่านวิธีจากคู่มือที่แถมมากับตัวเครื่อง
วิธีที่ 3
กล้องดิจิตอลซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการถ่ายภาพที่แสนสะดวก ทุกครั้งที่คุณกดปุ่มเพื่อถ่ายภาพ ไฟล์จะถูกเขียนลงบนเมมโมรีการ์ด ดังนั้นหากกล้องของคุณเสีย ก่อนส่งไปซ่อมคุณก็ควรถอดเอาเมมโมรีการ์ดออกมาก่อนที่จะส่งไปซ่อมที่ร้านหรือศูนย์ซ่อม เพราะถึงยังไงที่ศูนย์ซ่อมเขาก็ต้องมีการ์ดสำรองเพื่อใช้ในการซ่อมอยู่แล้ว
วิธีที่ 4
ใช้ซอฟต์แวร์สำหรับการลบไฟล์แบบถาวร จริงๆ แล้วมีผู้รู้ให้คำแนะนำกันมาหลากหลายวิธี อาทิ ฟอร์แมตตัวเก็บข้อมูล แต่เนื่องจากมีซอฟต์แวร์ที่ช่วยกู้ไฟล์คืนกลับมาได้ ดังนั้นการฟอร์แมตจึงไม่ใช่วิธีการลบไฟล์อย่างถาวร ผู้รู้บางคนก็แนะนำว่าให้เขียนข้อมูลให้เต็มการ์ดความจำ แล้วลบและเขียนทับซ้ำไปซ้ำมาหลายๆ รอบ วิธีการนี้ก็ไม่สามารถรับประกันว่าเซียนคอมพ์จะกู้กลับมาไม่ได้
ส่วนการลบไฟล์หรือคลิปแบบถาวรในแบบที่กู้คืนกลับมาไม่ได้ เราจะต้องใช้โปรแกรมประเภทลบถาวรมาใช้ลบไฟล์ ซึ่งก็มีด้วยกันหลายโปรแกรม ยกตัวอย่าง โปรแกรม File Shredder

หลักการทำงานของโปรแกรม File Shredder นี้ คือ จะค้นหาที่อยู่ที่แท้จริงๆของไฟล์ๆนั้น จากนั้น ก็เขียนทับ และ ลบ ด้วย Algorithm ที่มีให้เลือก 5 แบบ เพื่อที่จะทำให้ไม่ว่าจะใช้เทคนิคการกู้แบบไหนก็ตาม ไม่สามารถกู้ขึ้นมาได้อีก วิธีใช้งานโปรแกรมนี้ก็เข้าโปรแกรม File Shredder เลือก Add File / Folder ที่เราต้องการให้ลบจริงๆแบบชนิดไม่สามารถกู้ใหม่ได้ แล้วกด ปุ่ม Shredder Now แค่นี้ก็เสร็จแล้ว หลังจากทำการ Sherdder ข้อมูลไฟล์นั้นแล้ว ก็จะไม่สามารถกู้ไฟล์นั้นกลับมาได้อีก
นอกจากที่ลบข้อมูลแบบถาวรกู้ไม่ได้แล้ว ยังมี Shredd Free Disk Space มาให้ด้วย ซึ่งโปรแกรมจะค้นพื้นที่ว่างของเครื่องเรา ว่าเคยเก็บอะไรที่อาจจะกู้ได้มาบ้าง จากนั้นก็จัดการเคลียลบให้หมดจด ไม่เหลือร่องรอยที่จะให้กู้ได้เลย เหมาะสำหรับ ผู้ส่งมือถือไปซ่อม ส่งเคลม HDD หรือ นำNotebook และ PC ไปขายต่อ โดยไม่อยากให้มีใครมากู้ไฟล์ที่เคยลบในหน่วยความจำของเรา โปรแกรมนี้หาโหลดมาใช้กันได้ฟรีๆที่เว็บไซต์ http://www.fileshredder.org/

วิธีที่ 5

ไม่ถ่าย สั้นๆ ง่ายๆ เพียงแค่นี้ก็ไม่ต้องกังวลใจปวดหัวกับปัญหาที่จะตามมา เพราะความลับไม่มีในโลก ดังนั้นถึงคุณจะหาทางป้องกันปิดบังมากแค่ไหน หากถึงวันซวย ภาพหรือคลิปเหล่านั้นก็สามารถออกมาประจานคุณได้อย่างแน่นอน
ข้อมูลจาก – arip และ คุณ @ripmilla จาก www.freeware.in.th

รวมเว็บบริการพื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ฟรีๆ ที่มีประโยชน์


รวมเว็บบริการพื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ฟรีๆ ที่มีประโยชน์
    ตอนนี้เทรนด์กระแสฮิตของคนทำงานก็เริ่มที่จะฝากข้อมูลต่างๆไว้บน Cloud แล้ว เผื่อกรณีลืม พวก USB Flashdrive หรือต้องการแชร์ไฟล์งานนี้ส่งให้เพื่อนช่วยแก้ไขก็สามารถทำงานร่วมกันได้ด้วยบริการ Cloud Storage นี้ วันนี้เลยรวบรวมเว็บไซต์ต่างๆที่เกี่ยวกับ Cloud Storage ต่างๆ มาให้คุณได้มาลองสมัครใช้บริการกัน 


เริ่มที่ Dropbox คงไม่อธิบายมากเพราะเคยนำเสนอมาแล้ว ถ้าสมัครผ่านทางเว็บไซต์ dropbox จะได้เนื้อที่ฟรี 2GB หากคุณทำภารกิจตาม GET START คุณก็สามารถได้พื้นที่เพิ่มอีก 250MB ไปเรื่อยๆได้ และถ้าชวนเพื่อนสมัคร dropbox ผ่านลิงค์ของคุณคุณก็ได้พื้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สูงสุดถึง 16 GB ทีเดียว   จุดเด่นก็คือรองรับการ SYNC ไฟล์ ผ่านหลายแพลตฟอร์มทั้ง iOS , Android , Windows , Mac และ Linux แต่ถ้าหากคุณถอยพวก HTC One Series  ได้พื้นที่เพิ่มทันที 25GB เป็นเวลา 2 ปี  และ Samsung Galaxy SIII ที่ใกล้จำหน่ายบ้านเรา  ก็มีแถม Dropbox ให้ 50 GB จุใจกันไป เป็นระยะเวลา 2 ปี


box ให้พื้นที่ฟรีออนไลน์ถึง 5GB แต่ถ้าสมัครผ่านอุปกรณ์ต่างๆดังนี้เช่น โทรศัพท์มือถือ LG ทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ที่ลง box ได้ , HP Touch Pad , Blackberry Playbook , SONY XPERIA Phone , SONY Tablet  จะได้พื้นที่ 50GB ไปเลยจนถึงสิ้นปี โดยเงื่อนไขคือต้องโหลดแอพและ สมัครบริการ box แล้วทำการ sign in เข้ากับแอพบนมือถือหรือแท็บเล็ตของคุณ ก็จะได้เนื้อที่ 50GB ไปแล้วฟรีๆจนถึงสิ้นปี 2012 หลังจากนั้นก็จะลดเหลือแค่ 5GB  ข้อเสียของ box นั้นก็คือยังไม่มีแอพสำหรับบนคอมพิวเตอร์ในการ sync เวลาอัพโหลดดาวน์โหลดนั้นต้องทำกับผ่านทางหน้าเว็บไซต์box.com บน  web browser อย่างเดียว


iCloud สาวก Apple ก็รู้จักกันดีกับบริการนี้ เป็นบริการ SYNC และฝากไฟล์ บนอุปกรณ์ ทั้ง MAC และ iOS โดยเฉพาะ  มีพื้นที่ให้ฟรี 5GB หากอยากได้เพิ่มก็ซื้อพื่นที่เอา ส่วนใหญ่จะฝากไฟล์พวกไฟล์งานสำหรับ iWork การ SYNC แชร์ภาพเข้ากับอุปกรณ์ iOS เช่น iPhone , iPad , iPod Touch และคอมแบบ MAC OSX  ด้วย  บริการนี้จะมาพร้อมอยู่แล้วเมื่อคุณสมัคร Apple ID ผ่านทางหน้าเว็บหรือสมัครผ่านอุปกรณ์ของค่าย Apple ต่างๆ


SKYDRIVE พื้นที่ฝากไฟล์ฟรี 7GB จาก Microsoft  แต่ความจริงแล้วมีให้ถึง 25GB เลยทีเดียว เพียงรีบยืนยันคงสิทธิ์พื้นที่ 25GB ไว้เท่านั้น  ใครที่มี Hotmail , msn.com , windowslive.com  , live.com ก็สามารถใช้บริการ skydrive ได้ทันที ทั้งผ่านทางเว็บ skydrive.live.com  ผ่านทางโปรแกรมบน PC โดยเฉพาะ Windows สามารถจัดการไฟล์ได้ทันทีผ่าน Windows Explorer ได้เลย รวมทั้งสามารถ sync กับ แอพบน WindowsPhone , iPhone , iPad ได้ด้วย รองรับแชร์ทั้งรูปภาพได้ สามารถแก้ไขเอกสารจากไฟล์พวก Microsoft Office ทางออนไลน์ได้ด้วย รวมทั้งจะรองรับทำงานร่วมกับ Windows8 ในอนาคตอันใกล้


Google Drive เปิดตัวสดๆร้อนๆเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีพื้นที่ 5GB  สำหรับขา Google docs ก็สามารถแก้ไขเอกสารผ่านทางออนไลน์ได้ด้วย รองรับการอัพโหลดและแชร์ไฟล์พวกรูปภาพ คลิปวีดีโอ และการ sync ไฟล์ด้วย ผ่านแอพทั้งบน PC ระบบปฏิบัติการ windows   , mac OSX และ มือถือ Android ส่วน iOS ก็จะมาด้วยเร็วๆนี้ ส่วนผ่านทางเว็บบราวเซอร์ก็สามารถใช้บริการได้ผ่านทาง drive.google.com


Amazon ก็มีด้วย กับ Amazon Cloud Drive รองรับทั้ง Sync ผ่านแอพบน Windows และ MAC หรือจะอัพโหลดไฟล์ผ่านทางเว็บบราวเซอร์ก็ได้ มีฟรีพื้นที่คนละ 5GB  สมัครและลองใช้ได้ที่ http://www.amazon.com/clouddrive


Ubuntu One
 เป็น Cloud Sync คล้ายๆกับพวก Dropbox และ Google Drive มาก  รองรับทั้งอัพโหลดไฟล์บนเว็บบราวเซอร์ , แอพพลิเคชั่นบนมือถือ iPhone , iPad ,  Android และแอพบน Windows และ Ubuntu ซึ่งถ้าใครได้ลงระบบปฏิบัติการฟรี อย่าง Linux Ubuntu ก็จะมีแอพโปรแกรมนี้ติดมากับเครื่องด้วย สมัครสมาชิกฟรีและจะได้เนื้อที่ฟรี 5GB  หากต้องการเนื้อที่ เพิ่มก็ซื้อพื้นที่ได้  นอกจากนี้ยังใช้ account ที่สมัครนี้มาซื้อแอพและซื้อเพลงออนไลน์บน Ubuntu ได้ด้วย
สรุปแล้วมีทางเลือกมากมายจริงๆสำหรับการนำไฟล์ข้อมูลนี้มาฝากออนไลน์ซึ่งมีคุณสมบัติและแตกต่างกันออกไป ซึ่งอำนวยความสะดวกมากที่เราสามารถเปิดไฟล์ผ่านทาง cloud ได้ทุกที่ทุกเวลา

ข้อมูลจาก http://www.it24hrs.com

วิธีตั้งรหัสปลดล๊อกบน iOS ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น แบบไม่ใช้แค่เลข 4 หลัก


วิธีตั้งรหัสปลดล๊อกบน iOS ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น แบบไม่ใช้แค่เลข 4 หลัก
    ท่านผู้ที่ใช้งานอุปกรณ์ iOS จากค่าย Apple ไม่ว่าจะเป็น iPhone4 , iPhone4S , iPod Touch , iPad2 และ The New iPad คงคุ้นเคยกับการตั้งรหัสผ่านแค่ 4 หลัก เพื่อสะดวกกับเจ้าของเครื่องที่ต้องการปลดล็อคอย่างรวดเร็ว ดุจดั่งกดตู้ ATM เลยทีเดียว แต่ก็มีความเสี่ยงสูงหากถูกคนอื่นเห็นคุณกำลังปลดล็อคและจำรหัสได้ หรือไม่ก็ถูกถอดรหัสจากเครื่องถอดรหัสก็อันตราย แล้วแอบเปลี่ยนรหัสของคุณและขโมยข้อมูลไป!และนอกจากจะมีคนแอบเห็นคุณกำลังกดรหัส 4 ตัวอยู่ จนขโมยรหัสคุณได้แล้ว ยังมีกรณีที่ผู้อื่นสามารถแกะรอยรหัสผ่านของคุณจากรอยนิ้วมือที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้สะกดรอยได้บนหน้าจอมือถือ หรือ tablet ของคุณเมื่อคุณกดรหัสผ่าน! ยิ่งถ้ารหัสปลดล๊อกของคุณเป็นตัวเลขทีีเดาง่าย เช่นตัวเป็นตัวเลขยอดนิยมที่คนมักจะใช้ตั้งเป็นรหัสปลดล๊อก iPhone หรือเป็นปีเกิดของคุณ ซึ่งก็สามารถเดาได้ง่ายๆ หาได้จาก facebook profile ของคุณ (ถ้าคุณบอกความจริงในประวัตินะ:D) หรือแม้กระทั่งหากใครทราบอายุของคุณ ก็คงจะไม่ยากเลยที่จะเดาปีเกิดของคุณได้ถูกต้อง เมื่อนำรอยนิ้วมือที่ทิ้งไว้ มาประกอบกับข้อมูลที่กล่าวไป ก็คงจะทำให้ผู้ที่ต้องการมาล้วงความลับของคุณ เดารหัส 4 ตัวนี้ได้ไม่ยาก!


วันนี้จึงนำเสนอวิธีที่จะทำให้การตั้งรหัสผ่านบน iOS ของคุณ ให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ที่ต้องการจะล้วงความลับของคุณ ทำงานยากขึ้นอีก! โดยเป็นการตั้งรหัสผ่านแบบทั่วไปจริงๆ ที่มีทั้งตัวเลขและตัวอักษร ชนิดไม่ใช่แค่ตั้งรหัสผ่านกดเลข 4 หลัก ซึ่งหลายท่านที่กำลังใช้ iOS อยู่นี้ อาจยังไม่เคยรู้วิธีและต้องการที่จะให้สามารถตั้งรหัสแบบยาวๆบนอุปกรณ์ iOS ของคุณได้  

วิธีการตั้งค่าให้สามารถตั้งรหัสผ่านยาวๆ บน iPhone  , iPod Tourch และ iPad


ภาพโดย Matt Elliott บรรณาธิการ CNET
  1. แตะที่ไอคอน Settings เลือก  General แล้วเลือก Passcode Lock.
  2. จากนั้นให้เลือก Toggle Simple Passcode ให้เป็น Off. (ย้ำว่า OFF เพราะปกติค่า default และที่คุณได้ตั้งแค่ตัวเลข 4 หลักก็เพราะ Toggle Simple Passcode  มันถูก ON ไว้
  3. จากนั้นแตะที่  Turn Passcode On ตามปกติ  แต่จะปรากฏให้ใส่รหัสยาวๆได้แล้ว หากตั้งยาวและมีความซับซ้อนเช่นใส่ตัวอักษรภาษาอังกฤษก็สามารถทำได้แล้ว
สำหรับวิธีตั้งรหัสผ่านให้ปลอดภัย อ่านได้ที่บทความ Password Attact ภัยร้ายที่ต้องรู้ก่อนจะสาย และวิธีตั้งรหัสผ่านให้ปลอดภัย! 
และจะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หากคุณไม่ลืมที่จะเปลี่ยนรหัสผ่านอย่างสม่ำเสมอ และไม่บอกรหัสลับนี้กับใคร แม้แต่คนใกล้ตัวของคุณ

ข้อมูลจาก http://www.it24hrs.com

วิธีการอัพเกรด iPhone, iPod touch, iPad เป็น iOS5


วิธีการอัพเกรด iPhone, iPod touch, iPad เป็น iOS5
   
หลังจากที่ทาง Apple ได้ปล่อยเฟิร์มแวร์ iOS5 แล้วเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายท่านที่เป็นสาวก Apple พันธุ์แท้ที่รู้ขั้นตอนอัพเกรดเป็นก็จะรู้วิธีการทำอย่างดี แต่เชื่อว่ามีผู้ใช้ iPhone , iPod touch และ iPad ระดับมือใหม่หลายท่าน ยังไม่ทราบขั้นตอนการอัพเกรด หรืออัพเกรดไม่เป็น ไม่กล้าเสี่ยงอัพเกรดกลัวพัง  ดังนั้นวันนี้จึงนำเสนอวิธีการอัพเกรดเป็น iOS5 กันแบบละเอียดทีละขั้นตอนเลยทีเดียว
ก่อนที่จะนำเสนอนั้น  ทีมงานได้ลองเสี่ยงอัพเกรดกันก่อนมาบอกในบทความนี้  เพราะเป็นมือใหม่มากที่ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple นี้เป็นตัวแรก ซึ่งในตัวอย่างนี้จะเป็นการอัพเกรด iPad2 จากเดิมมาพร้อมกับ iOS4.3 มาเป็น iOS5 การอัพเกรดเฟิร์มแวร์นี้ควรใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง และทราบจาก twitter ที่เป็นผู้ใช้ iOS ที่ร่วมอัพเกรดมารายงานตอบกลับมาหาเรา ว่าพบบางขั้นตอนก็มีปัญหาด้วย ดังนั้นวันนี้จะบอกวิธีการอัพเกรดเป็น iOS5 พร้อมข้อมูลข้อควรระวังต่างๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด พร้อมกับการอัพเกรดเป็น iOS5 ที่สมบูรณ์พร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆที่จะตามมาด้วย แต่ถ้าหากมีปัญหาก็ไปสอบถามที่ศูนย์ iStudio เพื่อทำการอัพเกรดเฟิร์มแวร์ให้ได้

คำเตือนก่อนอัพเดทเฟิร์มแวร์เป็น iOS5 ควรฝากไฟล์เอกสารต่างๆจากเครื่อง iOS ของคุณลงคอม หรือฝากผ่าน Dropbox ไว้เพราะขั้นตอนอัพเฟริมแวร์นี้จะเหมือนการรีเซทเครื่องใหม่หมด แอพที่คุณโหลดก็อาจหายได้ (แต่แอพที่ซื้อมาแล้ว สามารถโหลดใหม่ได้ฟรี ไม่ต้องเสียเงินอีกรอบ) 

สำหรับอุปกรณ์ที่จะใช้ในการอัพเดทมีดังนี้

  • อุปกรณ์ iOS ที่ต้องการอัพเกรดเป็น iOS5 ได้  ได้แก่ iPhone 3GS, iPhone 4 , iPad, iPad 2 , iPod touch (3rd generation), iPod touch (4th generation)
  •  สายเชื่อม usb ที่เชื่อมระหว่างอุปกรณ์  iOS กับ คอมพิวเตอร์ หรือ Notebook
  •  คอมพิวเตอร์ หรือ Notebook ระบบปฏิบัติการ Windows xp , Windows 7 , Mac OSX  ที่ลงโปรแกรม iTunes 10.5
  •   อินเตอร์เน็ต (สาย Lan , Wifi ,3G) ให้กับคอมพิวเตอร์ หรือ Notebook
 ขั้นตอนการอัพเดท iOS5
หากไม่มีโปรแกรม iTunes หรือ มี iTunes เวอร์ชั่นต่ำกว่า 10.5 ให้ทำการอัพเดท หรือดาวน์โหลดโปรแกรม iTunes 10.5 จากเว็บไซต์  http://www.apple.com/itunes/ ก่อนแล้วทำการ Install ติดตั้งลงคอมพิวเตอร์ หรือ Notebook ให้เรียบร้อย หากได้ติดตั้ง itunes 10.5 แล้วให้ทำตามขั้นตอนต่อไป
ให้ทำการเสียบสาย usb ที่มากับ อุปกรณ์ iOS ต่าง (iPhone , iPad , iPod Touch) เชื่อมกับคอมพิวเตอร์หรือ Notebook ที่ลงโปรแกรม iTunes10.5 ให้เรียบร้อย และทำการเปิดอินเตอร์เน็ตให้กับคอมพิวเตอร์หรือ Notebook ของคุณด้วย

เข้าสู่โปรแกรม iTunes 10.5 แล้วทำการคลิก Update จะปรากฏหน้าต่างอันใหม่ เลือก Continue เพื่อตรวจสอบเวอร์ชั่นล่าสุด ก็คือ iOS5 นั่นเอง
ก็จะพบหน้าต่างว่า ล่าสุด Apple ได้ปล่อย iOS5.0 ก็คลิกตอบ Update เพื่อเริ่มทำการดาวน์โหลด เฟิร์มแวร์iOS5 จากทางอินเตอร์เน็ต
ก็จะปรากฏหน้าต่างข้อตกลงต่างๆ จากทาง Apple (แม้จะยาวหน่อยแต่ลองอ่านก็ดีเพราะสำคัญ)  แล้วคลิก NEXT
คลิก คลิก Agree เพื่อยินยอมสัญญา โปรแกรมจะเริ่มทำการดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ iOS5

โปรแกรมจะเริ่มทำการดาวน์โหลด ใช้เวลาสักครึ่งชั่วโมง โดยในตัวอย่างที่เห็นนี้จะเป็นการอัพเดทเฟิร์มแวร์สำหรับ iPad 2 รุ่น Wi-Fi

เมื่อทำการดาวน์โหลดเสร็จ ก็จะเริ่มทำการ Backup สำรองข้อมูลจาก iPad2  (หรืออุปกรณ์ iOSอื่นที่กำลังอัพเดทเฟิร์มแวร์ ) เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ  Notebook ของเรา แล้วก็รอกันสักครู่ ระหว่างนั้น iPad จะรีสตาร์ทและพร้อมสำหรับอัพเดทเฟิร์มแวร์โดยอัตโนมัติ รอไปเรื่อยๆ เพราะ iTunes จะติดตั้งเฟิร์มแวร์ลงใน เจ้าอุปกรณ์ iOS ของคุณเอง
เมื่อติดตั้งเฟิร์มแวร์เสร็จเครื่อง iPad หรือ อุปกรณ์ iOS อื่นๆก็จะปรากฏจอดังรูป ตามอุปกรณ์ iOS ที่คุณครองอยู่ ให้ทำการเลื่อยสไลด์ลูกศรด้านล่างนี้เพื่อเปิดเข้าสู่หน้าจอการตั้งค่าต่างๆของอุปกรณ์
หลังจากสไลด์ลูกศรด้านล่างเปิดจอ บนเครื่อง iPad , iPhone  , iPod Touch แล้ว ระหว่างนั้นเอง คอมพิวเตอร์ก็จะเริ่มทำการ Restore ไฟล์ Backup ที่ เจ้าอุปกรณ์ iOS ได้ฝากไว้กับคอมพิวเตอร์ ได้ทำการย้ายคืนกลับให้กับอุปกรณ์ iOS ตามเดิม ทั้งตัวไฟล์สำคัญ และแอพพลิเคชั่นบน iOS ที่คุณเคยติดตั้ง หากคุณติดตั้งแอพเยอะก็ใช้เวลานานหน่อย
หน้าจอแรกเริ่มการตั้งค่าเครื่อง iOS (ในภาพนี้เป็นการตั้งค่า iPad แต่ทุกอุปกรณ์ iOS ขั้นตอนการตั้งค่าเหมือนกันหมด ) ให้คุณแตะที่  “ ทำต่อ”
หน้านี้จะเป็นหน้าเปิด Location Based (หรือบางคนก็เรียกว่า LBS หรือบ้างก็ GPS ) เพื่อแชร์บอกตำแหน่งพิกัดของโลก หากคุณยินดีเปิด LBS ก็เลือก “เปิดใช้บริการหาที่ตั้ง” หากไม่อยากแชร์พิกัด ก็เลือก “ปิดใช้บริการหาแหล่งที่ตั้ง’ อันนี้แล้วแต่ผู้ใช้จะเลือก แล้วแตะปุ่ม “ถัดไป” ที่อยู่ด้านขวาบนของจอ

เลือกเครือข่าย Wi-Fi ที่คุณใช้งานอยู่แล้ว แตะปุ่ม”ถัดไป” ที่อยู่ด้านขวาบนของจอ


แล้วลงชื่อ Apple ID ของคุณที่ใช้กับอุปกรณ์ตัวนี้
กรอกอีเมลล์ Apple ID ที่คุณได้ใช้กับอุปกรณ์ iOS ของคุณ
จะเข้าสู่หน้าสัญญาต่างๆจาก Apple อีกครั้งบนเครื่อง iOS ของคุณ ให้แตะที่ “ยินยอม”


ก็จะปรากฎหน้า Pop-Up เตือนอีกครั้ง ให้แตะที่ ยินยอม เพื่อดำเนินขั้นตอนต่อไป


ระบบจะใช้เวลาสัก 2-3 นาทีในการตั้งค่า รอสักครู่จะเข้าสู่หน้าจอถัดไป…


เข้าสู่การตั้งค่า ว่าจะใช้ iCloud หรือไม่ อันนี้แล้วแต่ผู้ใช้ ( แต่ส่วนใหญ่จะเลือกใช้ iCloud เพราะมันเป็นบริการใหม่ที่มากับ iOS5)


หากตอบใช้ iCloud จะถามว่ารวมเข้ากับ iCloud หรือไม่ ตอบว่า “รวมเข้าด้วยกัน”
แล้วจะเข้าสู่การตั้งค่า Find My iPad เครื่องจะถามว่าจะเปิดบริการค้นหา iPad ของฉัน ( Find My iPad หรือไม่) อันนี้แล้วแต่ แต่ถ้าหากหวง iPad  มากจริงๆ ควรตอบ ใช้ “ค้นหา iPad ของฉัน” (ความจริงแล้วแต่อุปกรณ์ เช่น iPhone , iPod Touch จะถามว่าจะเปิดบริการ Find My iPhone , iPod Touch หรือไม่)

สุดท้ายจะเป็นเรื่องรายงานเครื่องของเราว่า ต้องการส่งการวินิจฉัยและการใช้งานให้กับ Apple หรือไม่ อันนี้แล้วแต่ผู้ใช้ แต่ถ้าหากเลือก “ส่งอย่างอัตโนมัติ” ทันทีที่เครื่องเกิดปัญหาการใช้งาน จะมีการรายงานส่งปัญหานี้ให้ Apple อย่างอัตโนมัติ

แล้วมาถึงหน้าจอสุดท้ายในการตั้งค่า iOS  ก็แตะที่เริ่มการใช้งาน iPhone , iPad , iPod Touch
แค่นี้ก็จะเข้าสู่หน้าจอหลักที่คุณคุ้นเคย พร้อมกับแอพตัวใหม่ที่มากับ iOS5 อย่างเช่น ข้อความ (iMessage) ,  เตือนความจำ (Notification Center)  แผงหนังสือพิมพ์  (Newsstand) และความสามารถอื่นๆใหม่ๆอีกมากมายแล้ว

สำหรับผู้ที่มีปัญหาติดตั้งเฟิร์มแวร์แล้วแอพไม่ทำงาน

เชื่อว่ามีหลายท่านได้ทำตามขั้นตอนจน ติดตั้ง iOS5 เสร็จสมบูรณ์แต่เวลาดึงออกจากสายเชื่อมต่อมาใช้ลองเล่นแอพแล้วปรากฎว่าบางท่านพบปัญหา เลือกแอพแล้วแต่ไม่ทำงานเลย จะทำอย่างไรดี ให้ลองทำตามขั้นตอนนี้อีกครั้งดังนี้
1. ให้ทำการนำสาย usb เชื่อมระหว่างอุปกรณ์ iOS ของคุณ เชื่อมกับคอมพิวเตอร์ของคุณอีกครั้ง แล้วเปิดโปรแกรมiTunes10.5 อีกครั้งหนึ่ง
2. เลื่อนเมาส์เลือกตรง Device เลือกตรงอุปกรณ์ iOS ของท่าน  คลิกขวาเลือก “Restore From Backup…”

3. เลือกชื่อ iOS ของคุณที่คุณตั้งชื่อไว้ แล้วเลือก Restore เพื่อทำการกู้คืนไฟล์และแอพ ฝากไว้ในเครื่องคอมของเรา ใส่ในอุปกรณ์  iOS อีกครั้ง แล้วทำการตั้งค่า ใหม่ตามขั้นตอนการตั้งค่าด้านบนอีกครั้งหนึ่ง
4. หลังทำการตั้งค่าเสร็จแล้ว ลองดึงสาย usb ออกแล้วทดสอบกับอุปกรณ์ iOS (iPhone , iPad  iPod touch) อีกครั้ง

ข้อมูลจาก http://www.it24hrs.com

รวมแอพอันตรายใน Facebook ที่คุณต้องรีบลบด่วน!!


รวมแอพอันตรายใน Facebook ที่คุณต้องรีบลบด่วน!!
    ช่วงนี้ใครที่ใช้ facebook แทบทุกวัน ก็จะพบว่ามีเพื่อนๆบางคนส่งแอพแปลกประหลาดมาให้เราร่วมกันคลิกกันเยอะแยะมากมายเต็ม wall ไปหมด บางครั้งก็เป็นกิจกรรมเกม แต่บางครั้งแอพนี้แทบจะไร้สาระและน่ารำคาญมากๆ ซึ่งถ้าหากเรา เพิ่ม app บน facebook ที่เราไม่รู้จักละก็ นอกเหนือจะสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนของคุณๆบน facebook แล้ว คุณก็อาจตกเป็นเหยื่อในการกระจายพวก Scamware บน facebook หรือตกเป็นเหยื่อโดนขโมยข้อมูลส่วนตัวได้


ตัวอย่างหนึ่งในแอพอันตรายอันตรายหลายๆแอพใน facebook
วันนี้จะขอนำเสนอรายชื่อ Application Facebook ที่คาดว่าจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ facebook โดยทางเว็บไซต์ facerocks ซึ่งเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับรายงานข่าวด้านความปลอดภัยของ facebook นี้ ได้รวบรวมรายชื่อ Facebook Application ที่ถูกขึ้นเป็นแอพบัญชีดำ เพราะแอพเหล่านี้จะสร้างความก่อกวนแก่คุณ และเพื่อนๆของคุณบน facebook , อาจขโมยข้อมูลส่วนตัว และปล่อยไวรัสมัลแวร์กระจายต่างๆทาง facebook ได้ด้วย ซึ่งหากคุณมีแอพที่ตรงกับรายชื่อนี้ ให้ทำการลบแอพนี้ออกโดยเร็ว
รายชื่อแอพพลิเคชั่นอันตรายบน facebook ที่ทางเว็บไซต์ Facerocks ได้ประกาศเตือนขึ้นไว้เป็นบัญชีดำ ได้แก่
Are YOU Interested?
Get Revealed
Friends Secrets
ily or not
Would you rather
My Friend Secrets
Question Party
Friend Ville
friend.ly
tinychat
WAYN – Map Your Friends
Friends Photos
Daily Mood
——
21 Questions
love
21QUIZ12
Questions
THE FRIEND FIGHTING QUIZ
Best Looking Contest, etc.
tag friends <3
Best Friends
Are you my best friend ???
Truth Quiz
What Colour Are You!!!
Truths About You
หากพบแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ให้ทำการลบแอพนี้ออกทันทีโดยด่วนโดยเข้าไปตั้งค่าทางลิงค์นี้ เพื่อความปลอดภัยต่อตัวบัญชี facebook ของคุณ รวมทั้ง Facebook เพื่อนๆของคุณด้วย
ข้อมูลจาก http://www.it24hrs.com

การเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัวใน Hotmail

การเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัวใน Hotmail
เนื้อหา     : เมื่อท่านต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัวใน Hotmail ท่านสามารทำได้โดยเข้าไปที่ Options ซึ่ง
         ผมได้ในำเสนอการเ้ข้าที่เมนูนี้แล้ว เมื่อท่านเข้าไปใน Options แล้วให้ท่านเลือกเข้าไปที่ My Profile
         ท่านก็เห็นรายละเอียดแกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของท่านและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ท่านจะไม่สามารถ
         เปลี่ยนแปลง Password ได้ ถ้าท่านต้องการเปลี่ยนแปลง Password ท่านต้องกลับมาที่เมนู Options
         แล้วเลือกเข้าไปที่ Password โปรแกรมจะให้ท่านใส่รหัสเดิมก่อนเข้าทำการแก้ไข เมื่อท่านได้ใส่รหัส
         ผ่านเข้าไปแล้ว ท่านก็จะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงรหัสของท่านได้โดยให้ทำตามขั้นตอนของโปรแกรม

การเปลี่ยนภาษาใน Hotmail.com

การเปลี่ยนภาษาใน Hotmail.com
เนื้อหา     : ท่านเคยประสบปัญหา Hotmail ของท่านไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้หรือไม่ แต่กลับแสดงเป็น
                ภาษาต่างประเทศ  หรือถ้าท่านต้องการเปลี่ยนภาษาท่านจะทำอย่างไร ในทิปนี้จะบอกให้ท่านได้รู้
                เกี่ยวกับการใช้ Options ของ Hotmail ด้วยครับ มาเริ่มกันเลยครับ

1.  เมื่อท่านมีปัญหาเกี่ยวกับภาษาที่ปรากฎเป็นภาษาต่างประเทศ ท่านต้องจำตำแหน่ง ของ Options เอาไว้
     ซึ่งท่านต้องเข้าไปแก้ไขให้เป็นภาษา English ซึ่งตำแหน่ง Options นี้จะอยู่ที่ มุมบนขวามือ อยู่ติดกับ
     ตำแหน่ง Help เมื่อท่านเข้าใน เมนู Options แล้วให้ท่านเลือกที่ Language ของเมนู Personal option
     ท่านก็จะสามารถเปลี่ยนภาษาให้เป็นภาษาของประเทศต่างๆได้ที่ตรงนี้ครับ แต่ไม่มีภาษาไทยให้เลือกครับ
     ถ้าท่านต้องการให้แสดงเป็นภาษาไทยก็ให้ท่านเลือกที่ English การแสดงผลก็จะเป็นอังกฤษ และไทย

การเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวใน Yahoo mail

การเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวใน Yahoo mail
เนื้อหา     :  Yahoo mail ก็เป็นบริการ Free mail ที่ท่านทั้งหลายคงพอรู้จักกันแต่บางท่านก็ยังไม่ทราบ
                 รายละเอียดการใช้งานบางรายการเช่นตัวอย่างต่อไปนี้ คือการเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวไม่ว่าจะเป็น
                 รหัสผ่านหรือชื่อที่ใช้เป็นไอดีก็ตาม ท่านสามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้ครับ

1.  เมื่อได้ Sign in เข้าใช้เมลของ Yahoo แล้วถ้าท่านต้องการเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัว ให้ท่านคลิกที่ My Account
     ซึ่งจะเป็นตัวหนังสือเล็กๆสีน้ำเงินอยู่ข้างๆตัวหนังสือ Yahoo
2.  เมื่อท่านได้ทำการคลิกเข้าไปแล้ว Yahoo จะให้ใส่พาสเวิร์ดเดิมก่อนเพื่อเป็นการยืนยันการเข้าใช้งาน ท่านก็
     เพียงใส่พาสเวิร์ดเดิมแล้วคลิกที่ Continue
3.  ในรายการ My Account ของท่าน ท่านสามรถเปลี่ยนข้อมูลของท่านได้ตามประสงค์เลยครับ
      เมื่อท่านแก้ไขเรียบร้อยก็ให้คลิกที่ Finish ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ

การใช้ CC: และ BCC: ที่มีอยู่ใน E-Mail

การใช้ CC: และ BCC: ที่มีอยู่ใน E-Mail
เนื้อหา     : หลายท่านที่ใช้เมลคงเคยสังเกตุเห็นว่ามี CC: และ BCC: อยู่ตรงกลางระหว่าง To และ Subject
                 แต่หลายๆท่านก็คงยังไม่ืทราบใช่ไหมครับว่าสองตัวนี้มีไว้ใช้งานอย่างไร
 
1.  CC : มีไว้ใช้ในการส่งสำเนาให้เมลต่างๆที่ท่านต้องการให้ทุกคนได้รู้ว่าท่านไ้ด้ส่งเมลนั้นให้ใครบ้าง เพราะ
                จะมีรายชื่อของทุกคนที่ท่านได้ส่งให้ปรากฎอยู่ในเมลนั้น ทุกคนก็จะสามารถดูได้ และ ท่านสามารถ
                 ส่งให้หลายๆคนพร้อมกันได้ด้วยการใช้จุลภาค(,)คั้นละหว่างชื่อเมลแต่ละเมล
2.  BCC: มีไว้ใช้ในการส่่งสำเนาให้เมลต่างๆแต่ทุกคนที่ได้รับเมลจะไม่สามารถรู้ได้ว่าเมลนั้นท่านได้ส่งให้ใครบ้าง
                 แต่ทุกคนก็จะได้ัรับเมลที่เหมือนกัน ท่านสามารถส่งให้หลายคนพร้อมกันได้เหมือนข้อ 1. ครับ